
วิกฤติการเงินทั่วโลก ดึงอุตฯฮาร์ดดิสก์โตลดลงเหลือไม่ถึง 10% จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 14% หวังอานิสงค์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์-ธุรกิจบริการผ่านดาต้าเซ็นเตอร์-กระแสเน็ต บุ๊ค หนุนความต้องการตลาดรวมฟื้นใน 2 ปี
กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : นายโจแอล ไวส์ ประธานสมาคมสำหรับอุตสาหกรรมฮาร์ดไดร์ฟทั่วโลก (ไอดีมา) กล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤตการเงินอาจส่งผลกระทบยอดซื้อต่อตลาดรวม ทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ลดลงเหลือไม่ถึง 10% ในปี 2552 จากเดิมเคยมีประมาณการณ์ว่าตลาดจะขยายตัวระดับ 14% ต่อเนื่องตลอด 5 ปี ขณะที่ ปีนี้คาดว่าตลาดจะยังอยู่ที่ 565 ล้านยูนิตทั่วโลก
พร้อมกันนี้ คาดว่าจะไม่มีการปรับลดจำนวนพนักงาน ในส่วนของฐานการผลิตที่อยู่ในประเทศไทย แต่จะไม่รับคนเพิ่ม
รายงานข่าว กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย ถือเป็นฐานผลิตฮาร์ดดิสก์อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งผู้ผลิตแถวหน้าเข้ามาตั้งโรงงาน ได้แก่ เวสเทิร์น ดิจิตอล, ฮิตาชิ, ซีเกท, ฟูจิตสึ โดยเมื่อปี 2550 มียอดผลิตรวมประมาณ 200 ล้านยูนิต สร้างมูลค่าส่งออก 5 แสนล้านบาท
ด้านนายจอห์น ริดนิ่ง ผู้อำนวยการวิจัย ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ไอดีซี) กล่าวว่า ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมียอดขายฮาร์ดดิสก์ 152 ล้านยูนิต เพิ่มจากไตรมาส 4 ปีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ภาวะความมั่นใจกับสถานการณ์อนาคต จะทำให้ยอดเติบโตรวมลดลงหลายไตรมาส และน่าฟื้นกลับมาแข็งแกร่งได้ปี 2553
ทั้งนี้ เขามองว่าแม้ปีหน้าตลาดจะเติบโตไม่ถึง 12-14% อย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่ก็น่าจะยังอยู่ที่ประมาณ 10% เนื่องจากฮาร์ดดิกส์จะได้รับผลกระทบน้อยว่าพีซี เพราะมีความต้องการการจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลเพิ่มมาก ผู้บริโภคการจัดเก็บไฟล์ขนาดใหญ่และวิดิโอมากขึ้น
ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มของการเกิดกลุ่มผู้ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่าเป็น "คลาวด์ คอมพิวติ้ง" ในหลายรูปแบบ และต้องเพิ่มการจัดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อให้บริการตลาดผู้ใช้องค์กรธุรกิจ จะกระตุ้นให้มีผู้ใช้อุปกรณ์โมบาย เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้บริการมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ "เน็ตบุ๊ค" ที่มีน้ำหนักเบา หน้าจอเล็กกว่า 10 นิ้ว ระดับราคาเฉลี่ย 200 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้ฮาร์ดดิกส์และเอสเอสดี (Solid State Drive) โดยปัจจุบันมีกลุ่มที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ 65%
ขณะที่ ผลสำรวจความต้องการลงทุนไอทีขององค์กรทั่วโลก พบว่า 40% มีแผนตัดลดงบลงทุน โดยระบุว่าจะตัดลดงบส่วนของพีซี 50% ตามมาด้วยโมบาย ดีไวซ์ และวอยซ์โอเวอร์ไอพี ในสัดส่วนเท่ากันคือ 40% เครื่องแม่ข่าย 30% และมีเพียง 20% ระบุตัดงบด้านสตอเรจ
"วิกฤตที่เกิดขึ้นแตกต่างจากวิกฤติ เอเชียเมื่อปี 2541 และยุคฟองสบู่ดอทคอมในสหรัฐปี 2544 แต่ครั้งนี้ผลที่เกิดขึ้นรวดเร็วกระจายไปทั่วโลก โดยอาจไม่รุนแรงเฉียบพลันเหมือน 2 ครั้งที่ผ่านมา" นายริดนิ่งกล่าว
นายจอห์น คิม นักวิเคราะห์ บริษัท เทรนด์ โฟกัส กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทที่รับจ้างทำเอสเอสอี (เอสเอสดี โออีเอ็ม) มีมากกว่า 60 รายทั่วโลก จากตลาดรวมมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ เทียบกับฮาร์ดดิสก์ มีผู้ผลิต 7 รายหลัก รวมมูลค่าตลาด 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ผลิตเอสเอสดียังมีจำนวนมากเกินไป และเชื่อว่าอนาคตจะเกิดการควบรวมเหมือนอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์
รวมทั้งมีคาดการณ์ว่า การใช้งานเอสเอสดี จะได้รับความนิยมในกลุ่มอุปกรณ์โมบาย ดีไวซ์ โดยปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนการใช้เอสเอสดี 92% และฮาร์ดดิสก์ 7% จากตลาดรวมโมบาย ดีไวซ์ 1.5 พันล้านเครื่อง และคาดว่าปี 2555 ตลาดรวมจะขยับเป็น 2.5 พันล้านเครื่อง โดยมีสัดส่วนที่ใช้เอสเอสดี 91%
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/24/news_305663.php
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น